Blog

    การพัฒนาสิ่งที่เราต้องการทดสอบ แยกออกมาเป็น 2 กลุ่ม แล้วนำมาเปรียบเทียบกันว่า เวอร์ชันไหนที่ดีกว่ากัน เป็นการทดสอบที่จะช่วยค้นหาคำตอบและรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นต่อการวิเคราะห์ ก่อนที่จะลงมือเดำเนินการเปลี่ยนแปลงโปรดักส์เพื่อปรับใช้งานจริง ซึ่งการทำแบบนี้สามารถช่วยประหยัดทั้งเวลา และเงินลงทุนได้เป็นอย่างมาก หรือ กระบวนการทดสอบและเปรียบเทียบชิ้นงานต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 รูปแบบขึ้นไป เพื่อค้นหาว่ารูปแบบใดทำงานได้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายมากกว่ากัน ซึ่งเราสามารถนำข้อดี/ข้อเสียของแต่ละรูปแบบมาปรับใช้ และพัฒนาต่อกับชิ้นงานนั้น ๆ ได้ในการทำ A/B Testing คุณต้องทำการทดสอบโดยสุ่มแยกออกเป็นสองกลุ่ม เพื่อแสดงรูปแบบชิ้นงานที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละกลุ่ม จากนั้นคุณจะต้องสังเกต รวบรวมปฏิกิริยาของผู้ใช้ เพื่อเปรียบเทียบผลตอบรับของแต่ละรูปแบบให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับตัวชี้วัดที่คุณเลือก ท้ายที่สุดแล้วคุณอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ ตามที่คิดไว้ตั้งแต่ต้น แต่อย่างน้อยสิ่งที่ได้สามารถนำมาเป็นตัวชี้แนะเพื่อการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในอนาคตได้ A/B Testing การออกแบบ UX / UI ในการออกแบบ UX / UI ของเว็บไซค์ ได้นำหลักของ A/B Testing นำเข้ามาใช้และเป็นที่นิยม โดยการสร้างตัวเลือก A และ B ขึ้นมาเพื่อทอสอบ […]

        โควิด19 ทำให้หลายธุรกิจต้องปรับตัวให้พนักงานเริ่มทำงานที่บ้าน หรือ WFH เพราะสามารถลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของไวรัสได้โดยลดการเดินทาง ลดการพบปะผู้คน วันนี้เราจะมาพูดถึงทริคการทำงานรูปแบบใหม่ WFH แบบมีประสิทธิภาพ ได้คุณภาพของงาน และจัดสรรเวลางานและเวลาส่วนตัวได้อย่างเป็นระบบไม่ปะปนกันอีกด้วย 1. การสื่อสารที่ชัดเจน เนื่องจากการที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทำให้เราไม่ได้ติดต่อกันตลอดเวลา การติดต่อจึงสำคัญ เช่น หลังการประชุมผ่านออนไลน์ จะมีการสรุปผลการประชุม ผู้รับผิดชอบงาน และกำหนดส่งงานที่ชัดเจน เนื่องการทำงานที่ไม่ได้เจอกันทุกวัน ควรมีการประชุมทุกวัน ในทุกวันจันทร์ให้เป็นลักษณะการประชุม Kickoff คือการเริ่มโปรเจกต์ของงานในสัปดาห์นี้ สร้างเป้าหมาย ว่าสัปดาห์นี้ต้องทำงานอะไร ส่งงานอะไรบ้าง งานที่ต้องดูแลรับผิดชอบ และ วันอื่นๆเป็นการประชุมรายงานการทำงานในทุกช้า เวื่อวานคุณทำอะไร คืบหน้าอย่างไร มีปัญหาในการทำงานอะไรไหมต้องการให้ทีมช่วยหลืออะไรไหม และพรุ่งนี้จะทำอะไร 2. ตั้งเป้าหมายของงานในแต่ละวัน Deadline ที่ชัดเจน การทำงานอยู่ที่บ้านไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำงานตลอดเวลา ในทุกวันควรตั้งเป้าหมายในการทำงาน วางแผนงานให้เป็นลำดับเป็นการสร้างวินัยในการทำงาน 3. ใช้แอปพลิเคชัน เพื่อช่วยในการบริหารจัดการ Project การทำงานเป็นทีม จำเป็นต้องอัพเดทความคืบหน้าของงานแบบร่วมกัน ซึ่งเราสามารถใช้แอปพลิเคชันด้าน Project

AI หรือชื่อเต็มที่เรียกว่า Artificial Intelligence คือ “ปัญญาประดิษฐ์” เป็นระดับขั้นหนึ่งในวิทยาการคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบให้มีระบบทำงานเหมือนกับการทำงานของสมองมนุษย์ , AI ที่ใช้กันในวงกว้างและยังได้นำไปประยุกต์ใช้ในทุกธุรกิจอุตสาหกรรม ยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชัน ที่ทำงานด้วยระบบ AIแบบอัจฉริยะ ก็สามารถตอบคำถามได้สั้นๆ รวมไปถึงการใช้งานฟังชั่นก์ต่างๆในสมาร์ทโฟนที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน และช่วงในช่วงการระบาดของ COVID – 19 จากผู้คนจำเป็นที่จะต้องกักตัวเองอยู่ที่บ้าน จึงมองหากิจกรรมที่จะเป็นการช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับตัวเอง อีกทั้งการเรียนออนไลน์ยังสะดวกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเดินทาง สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ในcontent นี้เราจะมีพูดถึงเรื่อง AI กับกลไกลพัฒนาการศึกษาไทย ว่าสิ่งพวกนี้จะมาช่วยพัฒนาและเสริมสร้างทักษาทางด้านการศึกษาได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย ! สื่อการสอนนอกห้องเรียน ไม่จำเป็นอีกแล้วในการเรียน ต้องนั่งในห้องเรียนเท่านั้น ตอนนี้ทุกคนสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้เพียงคลิกเท่านั้น ยังมีสื่อการสอนที่น่าสนใจอีกมากมายที่ช่วยเพิ่มทักษะการเรียนรู้หรื่อในส่วนของ แอปพลิเคชันติวเตอร์ ทั้งติวข้อสอบ และทอดลองทำข้อสอบก่อนเรียน หลังเรียน ช่วยประเมินผลการเรียน AI สามารถวิเคราะห์โปรแกรมการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหาช่องว่างในหลักสูตร ตัวอย่างเช่น เมื่อมีนักเรียนจำนวนมากเกินสอบตก AI สามารถวิเคราะห์ส่วนนี้ของหลักสูตรและ แนะนำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในโปรแกรม หรือเพิ่มแนวทางที่จำเป็นบางอย่างได้ ช่วยกระชับเวลาตรวจข้อสอบ งานทะเบียนต่างๆ เพิ่มเวลาการเรียนการสอน การทำงานในแบบสมัยก่อน คุณครูที่มีหน้าที่ในการสอนและเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนแล้ว

     ถ้าพูดถึงในช่วงวิกฤติโควิด-19 ก็คงการเปลี่ยนแปลงของผู้คนจำนวนมาก หรือทั่วโลกเลยก็ว่าได้ เพราะได้ส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ภาคเกษตร อุตสาหกรรม การส่งออก คมนาคมต่างๆ  ทุกสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ผู้คนต้องเปลี่ยนการใช้ชีวิต หลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน หลายธุรกิจต้องปิดตัวลงเนื่องจากไม่สามารถแบกรับกับวิกฤตินี้ได้ .. แต่ใช่ว่าจะแย่เสมอไป ยังมีอีกรูปแบบธุรกิจที่สร้างรายได้ และตัวเลขนั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนหยุดไม่อยู่ และมีแนวโน้มจะโตแบบก้าวกระโดดอีกเรื่อยๆ  ในขณะที่การออกจากบ้านลดลงเกินครึ่ง บนถนนในกรุงเทพไม่มีรถติด ซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยาก แต่ยอดการใช้อินเตอร์เน็ตกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วันนี้แอดมินมีสถิติที่น่าสนใจ อ้างอิงมาจาก e-Conomy SEA 2020 – Google แบบเข้าใจง่าย ให้เพื่อนๆได้อ่านกันค่ะ      การใช้อินเทอร์เน็ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีนี้มีผู้ใช้รายใหม่ถึง 40 ล้านราย (จํานวนผู้ใช้ ทั้งหมด 400 ล้านราย ณ ข้อมูลล่าสุด เทียบกับ 360 ล้านรายในปี 2019) สําหรับในประเทศไทย เนื่องจากการล็อกดาวน์มีหลาย ระยะ คนไทยจึงหันมาใช้อินเทอร์เน็ตเป็นทางออกเพื่อรับมือกับความท้าทายครั้งนี้ ผู้ใช้จํานวนมากเริ่มลองใช้บริการดิจิทัลใหม่ๆ โดย 30%

สายโปรแกรมเมอร์ หรืองานเกี่ยวกับ  IT ก็น่าจะคุ้นเคยกับ Backend Frontend กันอยู่แล้ว แต่บางคนก็ยังไม่เคยได้ยินคำนี้ แอดมินจะพาไปทำความรู้จักและทำเข้าใจแบบง่ายๆ ทั้งหลักการทำงานและความสำคัญ ที่ไม่ต้องเป็นสายโปรแกรมเมอร์ก็ถึงบ้างอ้อได้แบบไม่ยาก แอดมินจะยกตัวอย่างง่ายๆเช่นการที่เราเข้าพัก check in ในโรงแรม สิ่งที่เราเห็นจะเป็นพนักงานต้อนรับที่คอยอำนวยความสะดวก สิ่งนี้เป็นรูปแบบการบริการที่เราสามารถได้ยิน สัมผัสได้จริง รู้สึกได้ถึงปฏิสัมพันธ์ หรืออาจจะเป็นพนักงานยกกระเป๋า ที่คอยบริการส่วนหน้า นั่นเปรียบสเมือนฝั่ง Front-end ที่เรามองเห็นได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายส่วนงานที่ยังทำงานในระบบหลังบ้าน เช่นแผนกแม่บ้านคอยดูแลความสะอาด แผนกบัญชีทำรายรับรายจ่าย ซื้อ จ่าย ออกบิล ต่างๆ  พวกนี้ที่กล่าวมาจะวิเคราะห์ข้อมูลจัดทำข้อมูลต่างๆเพื่อส่งข้อมูลมายังงานหน้าบ้านซึ่งเหมือนกับการทำงานของฝั่ง Back-End นั่นเอง  Front-end คือส่วนติดต่อผู้ใช้ (User interface)  การทำงานที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้บนหน้าจอ การคลิก การกดปุ่มต่างๆ การจัดวางรูปแบบ ออกแบบให้เหสมาะสมกับผู้ใช้งาน เน้นไปทางด้านความสวยงาม ฟังก์ชันที่ทันสมัย ทุกอย่างที่เราเห็นบนหน้าจอ ซึ่งการออกแบบนั้นต้องรองรับได้กับทุกอุปกรณ์ ทักษะพื้นฐานที่ต้องมีก็คือ ต้องเขียนภาษา HTML / CSS / JavaScript Back-End

Design Thinking เป็นกระบวนการคิดเชิงออกแบบ เพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าและบริการใหม่ๆที่ตรงความต้องการของลูกค้า เพราะที่ผ่านมาไอเดีย มักเกิดจากเจ้าของธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านไปพบว่า สินค้านั้นไม่ได้ตรงกับความต้องการลูกค้าเลย จึงใช้ Design Thinking ช่วยหาไอเดียและทดลองลงมือทำ เพื่อผลิตออกขายออกสู่ตลาดต่อไป จะช่วยจัดระบบความคิดให้เป็นระบบมากขึ้น Design Thinking นั้นเป็นศาสตร์ที่มีมานานแล้ว แต่เพิ่งได้รับความเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีการปรับใช้ในทางธุรกิจมากขึ้น และ หลายองค์กรเริ่มมีการนำกระบวนการแนวคิดนี้มาใช้มากขึ้น นิยาามมันก็คีอ กระบวนการที่ช่วยยคิดอะไรใหม่ๆ คิดสินค้าใหม่ๆ คิดถึงรูปแบบการบริการใหม่ๆ สบการณ์จากสินค้าใหม่ๆ ที่เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย การทำความเข้าใจในความต้องการลูกค้า ว่าลูกค้าต้องการอะไรจากสินค้าเราบ้าง ความรู้สึกของลูกค้า และลงมือ ว่าออกมาตรงจุดหรือไม่ หรือจะเรียกง่ายๆว่า กระบวนการคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบ เหมาะกับองค์กรที่มีเป้าหมายที่จะพาองค์กรไปสู่จุดใหม่ ที่ออกจากกรอบเดิมๆ เราไม่ใช่ผู้ให้คำตอบ ลูกค้าคือที่คนที่ให้คำตอบ และกระบวนการคิดยี้ยังช่วยเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราคิดนวัตกรรมได้ คือ Design Thinking ได้อีกด้วย แนวคิดหลักของDesign Thinking   1. เข้าใจปัญหาให้ถูกต้องซะก่อน  (Empathize) ปกติเวลาเราคิดผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆขึ้นมาเพื่อลูกค้า เรามากจะคิดจากตัวเองก่อนว่าเรามีของดี เรามีส่วนดีและต่างจากคู่แข่งประมาณนี้ เรานำไปขายและนำเสนอลูกค้ากันเถอะ

     จะดีแค่ไหนถ้ามีแอปพลิเคชัน ที่ให้บริการเกี่ยวกับความสะอาดที่ครอบคลุมทุกฟังก์ชัน ที่ดูแลคุณครบ จบ ในบริการเดียว ยกตัวอย่าง มนุษย์เงินเดือนที่ใน 1 สัปดาห์ ก็ใช้เวลาออกไปทำงาน 5-6 วัน จนไม่มีเวลาได้ ปัด กวาด เช็ดถูบ้าน เป็นเรื่องที่ดี ที่คุณจะใช้บริการแม่บ้านที่สะดวก สบาย และปลอดภัย จากแอปพลิเคชัน แจ๋วครบเครื่อง เรื่องความสะอาด ด้วยราคาที่คุ้มค่าสบายกระเป๋า บริการนี้ยังสามารถใช้ได้กับ อาคาร ออฟฟิศ และตึกต่างๆ ตามที่ต้องการได้ เรายังเป็นดูแลคุณได้ครบฟังก์ชัน ไม่ว่าจะเป็น บริการกำจัดไรฝุ่น ทำความสะอาดออฟฟิศ  บริการแม่บ้านประจำสำนักงาน บริการซักพรม บริการเช็ดกระจกบนตึกสูง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ น้ำยาทำความสะอาดที่มีคุณภาพสูง ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ถึงความสะอาด และปลอดเชื้อโรค     และในปัจจุบันแอปพลิเคชันที่ให้บริการเกี่ยวกับความสะอาดนี้ ยังเป็นที่นิยมมากทั้งในบ้าน คอนโด และรูปแบบบริษัทอีกด้วย เนื่องจากควบคุมได้ง่าย ทั้งค่าใช้จ่าย และความปลอดภัย รวมถึงคุณภาพของแม่บ้านที่มักเป็นปัญหาจุกจิกกวนใจ อีกทั้งในกรณีที่แม่บ้านลางานกระทัน ทางบริษัทจะจัดหาแม่บ้านมาแทนให้ในวันนั้นๆ แม่บ้านทุกคนจะผ่านการตรวจสอบประวัติ

Sitemap คืออะไร ? สำคัญกับเว็บไซต์อย่างไร       ในการเริ่มทำเว็บไซค์นั้น Sitemap คือหน้าที่จะรวม Link ของเมนูต่างๆในเว็บไซต์ของเราไว้ในหน้าเดียว มีความสำสัญในส่วนประกอบเว็บไซค์ ถือว่าเป็นโครงสร้างเริ่มต้นของเว็บ ที่จะทำให้ผู้ใช้ทราบว่า ในเว็บมีเนื้อหาอะไรบ้าง หัวข้อหลัก หัวข้อย่อย คล้ายๆกับสารบัญของหนังสือ ที่จะกล่าวถึงหัวข้อ ให้ผู้ใช้กดเข้าชมในเรื่องที่ต้องการค้นหานั่นเอง Sitemapแนะนำให้ควรทำตั้งแต่เริ่มทำเว็บไซค์เลย เพื่อจะได้รู้จำนวนหน้า จำนวนหัวข้อที่สำคัญ ประโยชน์ของ Sitemap ที่คุณยังไม่รู้ – ช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซค์ใช้งานได้ง่าย – เพิ่มการค้นหาที่ดีต่อ Search Engine – ข้อมูลถูกจัดวางอย่างเป็นระบบ – ผู้พัฒนาเว็บไซต์เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ ทำให้ง่ายต่อการแก้ไข หรือเพิ่มข้อมูลในครั้งต่อไป – ช่วยให้หาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็วมากขึ้น       จะเห็นได้ว่าการทำ Sitemap นั้นมีประโยชน์ทั้งด้านของ Search Engine ในการเข้าชมเว็บ มีผลกับจำนวนผู้เข้าชม และทำให้เว็บไซค์จัดข้อมูลอย่างเป็นระเบียบ กดค้นหาง่าย ลดเวลาในการหาข้อมูล เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพที่ดีกว่าเดิม

    ยุคสมัยที่มีเทคโนโลยีเป็นการขับเคลื่อนรายได้ของประเทศ อาชีพที่มีความสำคัญคงจะเป็นอาชีพไหนไปไม่ได้นอกจาก Software engineer ทำให้ปัจจุบันนี้อาชีพสายSoftware engineer เป็นหนึ่งในอาชีพที่ตลาดแรงงานมีความต้องการสูง วันนี้ Swiftlet มีบทสัมภาษณ์จากเด็กรุ่นใหม่ไฟแรง ที่มีความตั้งใจที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์ในปะเทศไทยให้ใช้งานได้จริงและเกิดประโยชน์ต่อธุรกิจสูงสุด และคำถามที่คนส่วนใหญ่นั้นสงสัยในงานสายอาชีพนี้ว่าจำเป็นต้องใช้ทักษะอะไรบ้าง และทำงานอย่างไร มาดูกันเลย ประสบการณ์ทำงาน  ตอนนี้ทำงานมา 3 ปี แล้วครับ โดยส่วนตัวมองงาน Dev Ops เป็นอย่างไร ?เป็นงานที่ท้าทายครับ ต้องทำงานบน Cloud ความรู้ที่เรียนมาทั้งหมด 4 ปี ได้ใช้แน่นอนครับ เพราะต้องรู้เรื่อง Network, OS และต้องรู้เรื่อง Hardware พอสมควรเลยครับ ทำไมถึงเลือกทำงานตำแหน่งนี้  ?เป็นเพราะ ผมเป็นคนชอบตั้งคำถามครับ “การแสดงรูปภาพ ของเว็บ A ทำไมถึงเร็วกว่าเว็บ B ?””AWS เอาไว้ทำอะไรกันแน่ ?” แล้วก็ไปศึกษา ทางบริษัทก็ให้โอกาสผมได้ทำตำแหน่ง devOps คู่กับ Dev ไปด้วยเลยครับ คุณสมบัติที่สำคัญของ DevOpsทักษะที่สำคัญคือ ชอบที่จะเรียนรู้